|

Remarketing คืออะไร?

กลยุทธ์ดึงลูกค้าเก่า เพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัล

ในปัจจุบัน การตลาดดิจิทัลมีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ การดึงดูดลูกค้าใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายและมักมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นการหันมาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าหรือผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของเราจึงเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง ซึ่งเรียกว่า Remarketing หรือการทำการตลาดซ้ำ โดยเน้นการกระตุ้นให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ หรือทำให้ผู้ที่เคยสนใจแบรนด์กลับมามีส่วนร่วมอีกครั้ง

Remarketing คืออะไร?

Remarketing คือกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเป้าไปยังลูกค้าเดิมหรือผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เช่น การเยี่ยมชมเว็บไซต์ การสมัครรับข่าวสาร หรือการเพิ่มสินค้าลงตะกร้าแต่ยังไม่ได้ซื้อ โดยใช้โฆษณาหรือข้อความส่วนบุคคลที่ออกแบบมาเฉพาะเจาะจงเพื่อติดตามและดึงดูดพวกเขากลับมา

ความแตกต่างระหว่าง Remarketing และ Re-Targeting

หลายคนมักสับสนระหว่าง Remarketing และ Re-Targeting แม้ว่าทั้งสองจะมีเป้าหมายคล้ายกันคือการดึงลูกค้ากลับมา แต่มีความแตกต่างกันดังนี้:

  • Remarketing: มุ่งเน้นการใช้ข้อมูลจากลูกค้าเดิม เช่น การส่งอีเมลเพื่อแจ้งเตือนหรือเสนอโปรโมชั่นให้กับลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า
  • Re-Targeting: ใช้เทคโนโลยีคุกกี้ (Cookies) หรือพิกเซล (Pixel) ในการติดตามผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือดูสินค้า และแสดงโฆษณาผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น บนโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์พันธมิตร

ทำไม Remarketing ถึงสำคัญ?

  1. ลดต้นทุนการตลาด
    • การดึงลูกค้าเก่ากลับมามักใช้ทรัพยากรน้อยกว่าการหาลูกค้าใหม่ เนื่องจากลูกค้าเดิมมีความคุ้นเคยกับแบรนด์อยู่แล้ว
  2. เพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)
    • การทำ Remarketing ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เช่น การเสนอโปรแกรมสะสมแต้ม หรือโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะลูกค้าเก่า
  3. เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
    • ลูกค้าที่เคยสนใจหรือเกือบจะตัดสินใจซื้อสินค้า มีแนวโน้มสูงกว่าที่จะกลับมาซื้อเมื่อได้รับการเตือนหรือข้อเสนอที่น่าสนใจ

เทคนิคการทำ Remarketing ให้ได้ผล

  1. ใช้ข้อมูลลูกค้าอย่างชาญฉลาด
    • เก็บข้อมูลจากระบบ CRM เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า เช่น สินค้าที่พวกเขาสนใจหรือเวลาที่มักซื้อ เพื่อส่งข้อเสนอที่เหมาะสมและตรงจุด
  2. การส่งอีเมลแบบ Personalized
    • ใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างข้อความที่เฉพาะเจาะจง เช่น “สวัสดี [ชื่อ] คุณอาจสนใจสินค้าที่เราแนะนำให้!” หรือ “กลับมาช้อปกับเราวันนี้ รับส่วนลดพิเศษ 20%”
  3. ใช้โปรโมชั่นกระตุ้นการตัดสินใจ
    • เสนอข้อเสนอพิเศษ เช่น คูปองส่วนลด การจัดส่งฟรี หรือโปรแกรมคืนเงินสำหรับลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า
  4. การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย
    • ใช้โฆษณาในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อเตือนลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่พวกเขาสนใจ เช่น การแสดงโฆษณาสินค้าที่เคยดู
  5. สร้างประสบการณ์พิเศษสำหรับลูกค้าเก่า
    • เช่น การเชิญเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ การให้สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก หรือการเปิดตัวสินค้าก่อนใคร

ตัวอย่างการใช้งาน Remarketing

  1. อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
    • เมื่อลูกค้าเพิ่มสินค้าลงในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน สามารถส่งอีเมลแจ้งเตือนพร้อมส่วนลดพิเศษเพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อ
  2. ธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว
    • ส่งอีเมลแนะนำแพ็กเกจหรือโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าที่เคยจองที่พักหรือเดินทางกับบริษัท
  3. ธุรกิจซอฟต์แวร์และบริการออนไลน์
    • เสนอส่วนลดการสมัครสมาชิกหรือการอัปเกรดแพ็กเกจสำหรับลูกค้าที่เคยใช้บริการ
  4. ร้านค้าออฟไลน์
    • ใช้ SMS หรือข้อความส่วนตัวเพื่อแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับโปรโมชั่นหรือสินค้าที่ลูกค้าอาจสนใจ

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • ติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Google Analytics หรือ Facebook Ads Manager เพื่อวัดผลว่าแคมเปญ Remarketing ของคุณได้ผลดีแค่ไหน
  • ไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญ: หลีกเลี่ยงการส่งข้อความหรือโฆษณาซ้ำ ๆ จนเกินไป
  • สร้างความโปร่งใส: ให้ข้อมูลลูกค้าทราบว่าคุณเก็บข้อมูลอะไรและนำไปใช้ทำอะไร